RECENT STORIES

บินเดี่ยว……เที่ยว Dordrecht (rerun)

(อ้างอิงจาก – http://thaistudents.nl/tsan_newsletter/travel/Dordrecht)

dordrecht1

เช้าวันนี้วันที่สภาพอากาศไม่เป็นใจที่สุดในการออกเดินทางไปเที่ยวชมเมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรมอย่างเมือง ?Dordrecht? เมืองที่ติดกับ Rotterdam แต่กลับเป็นเมืองที่ผมไม่มีความรู้เกี่ยวกับเมืองนี้เลย จะว่าไปแล้วไม่ใช่แค่เมือง Dordrecht นะที่ผมไม่รู้แต่ผมรู้สึกว่า 2 ปีกว่าๆ ที่อยู่ที่ประเทศแห่งกังหันลมนี้ ผมรู้จักดินแดนแห่งนี้น้อยมาก ผมจึงเกิดแรงผลักดันให้เริ่มต้นในการออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อศึกษาลักษณะบ้านเมืองในแต่ละเมืองและศึกษาข้อมูลของประเทศนี้พอสังเขป มันมีเหตุผลอยู่ 2 ประการคือ การที่ผมเล่นเกม Facebook และดูหนังดูละครทางอินเตอร์เนตมาติดต่อกันสองถึงสามวันและอีกประการหนึ่งคือผมมีความคิดในการเขียนบทความเชิงท่องเที่ยวมาสักช่วงระยะหนึ่งแล้ว ทั้งสองส่วนนี้ที่ทำให้ผมฉุดคิดว่าผมน่าจะหาสิ่งใดสิ่งหนึ่งทำเพื่อให้ชีวิตในแต่ละวันของผมถูกใช้ไปอย่างมีคุณค่า

การไปเยือนเมือง Dordrecht นี้เป็นทริปแรกของผมครับซึ่งผมใช้เวลาในการตัดสินใจไปเมืองนี้แค่ไม่กี่นาที ผมได้ใช้เวลาในการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเมืองๆ นี้แค่ไม่กี่ชั่วโมงในช่วงกลางดึกของเมื่อวาน พอวันรุ่งขึ้นผมตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาจัดข้าวของและอาหารการกินในทริปนี้พอจัดเสร็จอาบน้ำแต่งตัวและออกจากบ้านตอนเวลา 8.00 น. ตอนนี้อากาศยังค่อนข้างเย็นอยู่ เพื่อที่จะไปขึ้นเรือที่ท่าเรือตรงสะพาน Erasmus อันที่จริงการเดินทางโดยรถไฟไปเมืองนี้สะดวก เร็ว และถูกกว่าทางเรือ แต่ด้วยเหตุที่ผมเลือกการเดินทางทางน้ำก็เพราะผมอยากเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางบ้างเพราะโดยส่วนมากผมจะเดินทางโดยใช้รถไฟ อัตราค่าโดยสารของเรือจะคิดตามระยะทางครับ ถ้าระยะทางใกล้ก็ถูกหน่อยแต่ถ้าไกลออกไปราคาก็จะเพิ่มขึ้นมาอีก ราคาจากเมือง Rotterdam ถึง Dordrecht (23-07-09) อยู่ที่ 4.20 ยูโรครับ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงโดยประมาณ เรือโดยสารจะจอดรับ-ส่งผู้โดยสารด้วยระหว่างทางประมาณ 4 ครั้ง มีข้อดีของเรือลำนี้คือเราสามารถเอาจักรยานขึ้นไปบนเรือได้โดยไม่เสียค่าบริการแต่ถ้าเราเอาขึ้นไปบนรถไฟเราจะเสียค่าโดยสารให้จักรยานเที่ยวละ 6 ยูโรต่อคัน เนื่องด้วยวันนี้เป็นวันที่อากาศค่อนข้างแย่เพราะฝนตั้งเค้าว่าจะตกลงมาตลอดเวลาจึงทำให้มีผู้โดยสารน้อยกว่าที่มันจะเป็น เรือลำนี้ล่องไปตามแม่น้ำ Nieuwe Mass และเรื่อยมาประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเปลี่ยนเส้นทางไปยังแม่น้ำ Nord Mass และตรงไปเรื่อยๆ จนถึงเมือง Dordrecht ตลอดเส้นทางเราจะสังเกตเห็นท่ารับส่งสินค้าเล็กบ้างใหญ่บ้าง เมื่อมาถึงท่าเรือ Merwekade ซึ่งเป็นสถานีของเมือง Dordrecht เราจะสังเกตได้ว่ามันเหมือนเป็นสามแยกถ้าเราเปรียบเทียบกับถนน ซึ่งจริงๆ แล้วมันเป็นจุดที่แม่น้ำสามสายไหลมาบรรจบกันได้แก่ Oude Mass, Nord Mass และ Merwekade ก่อนที่เราจะเดินทางเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองกันผมขอกล่าวถึง Dordrecht ในอดีตกันก่อนครับ ในอดีตนั้นเมืองนี้เป็นเมืองที่มีความสำคัญอีกเมืองหนึ่งของประเทศเนเธอร์แลนด์เนื่องด้วยมีแม่น้ำไหลผ่านหลายสายดังนั้นเมืองนี้จึงเป็นเมืองท่าและเป็นศูนย์กลางการติดต่อค้าขายทางน้ำ จะว่าไปแล้วคำว่า Dordrecht นี้แปลว่าอะไรและมาจากไหน ผมมีคำตอบครับหลายๆ ท่านอาจจะคิดว่ามันได้มาจากชื่อของแม่น้ำสามสายที่ไหลมาบรรจบกัน แต่อันที่จริงแล้วมันได้มาจากชื่อแม่น้ำสายเล็กๆ สายหนึ่งที่ชื่อว่า Thuredirth ซึ่งคำว่า Thure มีความหมายว่า ผืนดินที่มีลักษณะเป็นเกาะแก่งที่โผล่ขึ้นมาและมีน้ำตื้นๆ ซึ่งเราสามารถเดินข้ามไปยังอีกฝั่งหนึ่งได้ ส่วน Dordrecht ก็แปลว่า เขตน้ำตื้นที่สามารถเดินได้

เมื่อเรือมาจอดเทียบท่าแล้วก้าวแรกที่ผมเหยียบย่างเข้ามาในเมืองนี้เต็มไปด้วยความยุนงงอย่างรุนแรง เพราะว่าผมไม่รู้จะเดินไปทางไหนก่อน ผมจึงเลือกเอาทางใดทางนึงซึ่งผมเลือกผิดครับ ผมจึงเดินไปแบบไม่มีจุดหมายอยู่ประมาณ 20 นาที ซึ่งจากที่ผมศึกษาข้อมูลมาพอมาถึงแล้วเดินประมาณสองนาทีเราน่าจะเห็นประตูเข้าเมืองขนาดใหญ่และเก่าแก่ก่อนครับหรือที่คนดัชต์เรียกกันว่า Groothoofdspoort แต่อย่างไรก็ตามในเมืองผมมาถึงแล้วจึงต้องเข้าไปในเมืองให้ได้ ในขณะที่เดินไปเรื่อยๆ นั้นผมได้สังเกตเห็นตึกรามบ้านช่องของคนเมืองนี้ จากรูปร่างภายนอกแล้วผมแบ่งบ้านของเมืองนี้ออกเป็น 3 แบบด้วยตัวของผมเอง นั่นคือตึกเก่าที่ยังไม่มีการดัดแปลง แบบที่ 2 คือตึกแบบมาตราฐานของดัตช์ และแบบที่ 3 สมัยใหม่ ซึ่งทั้งสามแบบนี้จะอยู่สลับกันไปในถนนสายเดียวกัน และเนื่องจากมันถูกสร้างไม่พร้อมกันมันจึงทำให้แนวตึกมันไม่เท่ากันหรือเหมือนกับว่าบางตึกมันเอนเอียงเข้ามาหาเรา ผมจะพูดถึงแบบบ้านที่ผมตั้งขึ้นมานะครับว่ามันเป็นยังไง

  1. แบบเก่าแก่ คือ ตึกที่สร้างมานานแล้วและยังไม่มีการปรับปรุง ถ้าสังเกตผนังแล้วก้อนอิฐจะค่อนข้างเก่าและผุบางก้อน
  2. แบบมาตราฐานของดัตช์คือตึกที่มีการสร้างขึ้นมาใหม่และสามารถเห็นได้ทั่วไปในเนเธอร์แลนด์ เช่นตึกที่อยู่อาศัยใน Deventer
  3. ตึกสมัยใหม่ ตึกนี้จะเป็นตึกที่มีการฉาบผนังให้เรียบและทาสี สีของตึกสมัยใหม่ในเมืองนี้จะเป็นสีออกขาวๆ และตรงขอบของตึกจะเป็นสีเทาครับ ที่น่าแปลกใจในเมืองนี้อีกอย่างนึงก็คือ stadhuis ของเมืองนี้เป็นตึกสมัยใหม่ซึ่งผมคิดว่า Stadhuis น่าจะเป็นตึกสมัยเก่าที่ใช้งานมานานแล้ว

หลังจากนั้นก็เดินตรงไปยัง Grote Kerk หรือโบสถ์ใหญ่ครับซึ่งมันก็ใหญ่สมชื่อผมเดินเข้าไปข้างในโดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการเข้าชมครับ ซึ่งถ้ามองดูโดยรอบๆ แล้วโบสถ์แห่งนี้เป็นโบสถ์ที่มีการตกแต่งภายในแบบนิกาย Protestant ด้วยเหตุที่มันมีการประดับตกแต่งแบบเรียบง่ายไม่ค่อยมีงานศิลปะหรือรูปวาดที่หลากหลายแต่มันถูกตกแต่งด้วยกระจกสีตามหน้าต่างแค่นั้น ส่วนถ้าเป็นนิกาย catholic จะมีการตกแต่งเยอะมากโดยส่วนมากจะเป็นการใช้รูปวาดฝาผนังบอกเล่าเรื่องราวของพระเยซูคริสต์ กลับมาที่Grote Kerk กัน ภายในโบสถ์มีการจัดนิทรรศการแสดงความเป็นมาของลัทธิ Calvinism และประวัติของนาย Calvin ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งนิกายนี้ชาวฝรั่งเศส จะว่าไปแล้วนิกาย Calvinism กับนิกาย Protestant ก็คือนิกายเดียวกันครับ มันมีประโยคหนึ่งที่ Calvin ได้กล่าวไว้ว่า เราจะไม่พูดเกี่ยวกับตัวของเรา หรือ  I will not talk about myself  ซึ่งผู้คนต่างมองออกไปหลายๆ มุมเพราะถ้าจะว่าไปแล้วเวลาเรามีอะไรดีเกี่ยวกับตัวเรา เราก็อยากจะบอกว่าเราดีนะ ถ้าจะให้เปรียบไปแล้วคำนี้น่าจะหมายถึงประโยคที่ว่า ?ปิดทองหลังพระ? ที่น้อยคนนักทำได้

dordrecht2

ผมใช้เวลาอยู่ในโบสถ์นั้นค่อนข้างนานเนื่องจากฝนตกหนักมาก พอฝนเริ่มซาลงไปผมจึงออกไปเดินดูในตัวใจกลางเมืองซึ่งมันก็ทำให้เราเห็นถึงความทันสมัยของเมืองนี้ในอีกมุมมองหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปใจจริงอยากจะไปเดินดูสิ่งที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้อีกแต่ว่ามันช่างเหนื่อยเหลือเกินที่ต้องเดินแข่งกับสายฝนที่ร่วงหล่นลงมาตลอดเวลาถึงแม้ว่ามันจะไม่ตกหนักมากแต่มันก็ทำให้เราเปียกได้ จะว่าไปแล้วการมาบินเดี่ยวในครั้งนี้ทำให้ผมได้กลับมาหยุดคิดอะไรหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่างที่แตกต่างออกไป มีเวลาอยู่กับตัวเราเองและได้มองเห็นว่าถึงแม้เมืองเล็กๆ ที่เรานั่งรถไฟผ่านเป็นประจำและอยู่ใกล้จนเราคิดว่ามันไม่มีอะไรสำคัญแต่พอเราได้มาสัมผัสแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ถึงแม้ว้ามันจะเป็นสิ่งเล็กๆ ที่เราอาจมองไม่เห็นค่าของมัน ถ้าเราได้ลองมองมันอีกครั้งสิ่งเล็กๆ เหล่านั้นมันยังคงเก็บความยิ่งใหญ่ของมันเอาไว้และรอคอยการค้นพบอยู่ทุกเวลา…….

โดย ทร – Rotterdam

Leave a comment

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.